คำสั่ง SQL เบื้องต้น
ก่อนอื่นต้องบอกเลยครับว่ามันไม่ได้ดีมากนักสำหรับหน้าเวปนี้เพราะผมอ่านหนังสือและสรุปอย่างคร่าวๆ
แล้วรูปแบบมันอาจจะเพี้ยนๆ เพราะผมเขียนใน PAGE แล้วเอา
COPY and PASTE ลงเล้ย แบบไม่แก้ไขอันใดtabมั่วไปหมดถ้าผิดพลาดประการใดต้องขออภัยด้วยครับ
ภาษา SQL นั้นไม่เป็น
case sensitive (ตัวเล็ก ตัวใหญ่มีค่าเท่ากัน) และในแต่ละคำสั่งจะถูกปิดด้วย
; (semi-colon)
(วิธีการลง SQL ใน Window7
: http://natsusencho.blogspot.com/2012/07/mysql-window7.html)
มาเริ่มกันเลย
การเข้าใช้ให้เราเปิด cmd ขึ้นมาและ
$ mysql -u root -p
จากนั้นใส่ password ลงไป
จะเข้าสู่การใช้
mysql > (เราจะพิมพ์คำสั่งต่างๆลงไป)
ถ้าต้องการออกใช้
mysql > quit
mysql > show databases;
แสดง databases
ทั้งหมดที่เราสร้างขึ้น
mysql > use <ชื่อ database> เป็นการเข้าใช้
database นั้นๆ
mysql > SELECT database(); ดู database
ที่เรากำลังใช้อยู่
mysql > show tables;
แสดงตารางทั้งหมดที่เราสร้างขึ้นใน database
ที่ use
สร้าง DATABASE
mysql > create database
<ชื่อdatabase>;
เช่นcreate,databas,world;
สร้าง table
mysql > create table <ชื่อtable> (<ชื่อข้อมูล>
<ชนิดข้อมูล>, ... );
เช่น create
table human (name VARCHAR(20), birth DATE, sex CHAR(1));
ชนิดข้อมูล เช่น
VARCHAR(n) - ข้อมูลชนิด
string เก็บแบบ linked list เหมาะสมกับข้อมูลที่มีความยาวที่ไม่แน่นอน
CHAR(n) - ข้อมูลชนิด
string เก็บแบบ array เหมาะสมกับข้อมูลที่มีความยาวที่แน่นอน
INT - จำนวนเต็ม
DATE - ข้อมูลชนิดพิเศษของ
SQL ใช้เก็บวันที่ มีรูปแบบเป็น YYYY-MM-DD
ดูชื่อและชนิดข้อมูลของแต่ละตาราง
mysql > describe <ชื่อtable>;
การใส่ข้อมูลลงไปใน table
1. ใช้คำสั่ง load data จากไฟล์ที่เราเตรียมไว้
โดย default จะแบ่งเนื้อหาโดยใช้ tab แบบนี้จะมีปัญหาเรื่องการใช้ข้อมูลชนิด
NULL ซึ่งใช้ \N แทน
mysql > load data
local infile ‘natsu.txt’ into table pet;
2.INSERT ใส่ทีละข้อมูล เหมาะกับข้อมูลที่น้อยๆ ที่เราเพิ่มเติมเข้าไป
เช่น
mysql > INSERT
INTO pet VALUES (‘natsusencho’, ‘1992-03-25’, ‘M’);
3. *ทำ SQL script คือเตรียมไฟล์คำสั่ง
sql ไว้แล้วนำมาทำการ source ทีเดวเช่น
ส่วนตัวแนะนำวิธีนี้เพราะเราเขียนทั้งหมดทีเดียวไม่ต้องมาใส่ทีละคำสั่ง
นึกออกให้เสร็จที่เดียวแล้ว run ทีเดียวทั้งหมด
---- file natsu.sql
----
CREATE TABLE IF NOT
EXISTS human (
name VARCHAR(20),
birth DATE,
sex CHAR(1) );
INSERT INTO human
VALUES
(
'NatsuSencho', '1992-03-25', 'M'),
( 'Slime', '1999-03-03', NULL ),
( ‘HeyFemale’ ,
‘1993-12-25’ , ‘F’);
----- file natsu.sql
-----
หลังจากสร้างเสร็จแล้วก้ลองใช้คำสั่ง
mysql > source
natsu.sql;
ก็จะได้ตาราง
world หน้าที่มีข้อมูล 3 ตัว
create table IF NOT
EXISTS human
คำว่า IF
NOT EXISTS หมายถึงการสร้าง table นี้ถ้ายังไม่มี
table นี้ ถ้ามีแล้วก็ไม่ต้องสร้าง
มีสร้างก็ต้องมีลบ การลบ table ใช้คำสั่ง
mysql > DELETE
FROM <ชื่อtable>;
หลังจากที่สร้างเป็นแล้วต้องสามารถแก้ไขข้อมูลได้
mysql > UPDATE
<ชื่อtable>
SET <ชื่อข้อมูล>
= <ข้อมูลใหม่>
WHERE <เงื่อนไขอื่นๆ>;
เช่น UPDATE
human SET name = ‘HeyGirl’ WHERE name = ‘HeyFemale’;
การสืบค้นข้อมูล หรือการดูข้อมูล
SELECT <สิ่งที่ต้องการ>
FROM <ชื่อtable>
WHERE <เงื่อนไขอื่นๆ>
เช่นต้องการชื่อของข้อมูลในตาราง human ที่มีมีเพศชาย
SELECT name
FROM human
WHERE sex = ‘M’;
ต้องการดูข้อมูลทั้งหมดในตาราง human [*
คือทั้งหมด]
SELECT *
FROM human;
ซึ่งการกำหนดเงื่อนไขนั้นเราสามารถใช้ตัวแปรทางคณิตศาสตร์ตรรกะ
มาช่วยได้เช่น
AND และ
OR หรือ
<น้อยกว่า
> มากกว่า
<= น้อยกว่าหรือเท่ากับ
>= มากกว่าหรือเท่ากับ
<> ไม่เท่ากับ
UNION การนำ
2 ตารางมาเชื่อมต่อกันตัดตัวซ้ำ
UNION ALL การนำ
2 ตารางมาเชื่อมกันโดยไม่ตัดตัวซ้ำ
INTERSECT ข้อมูลที่ซ้ำกัน
DISTINCT คือการตัดตัวที่ซ้ำกันออก
เช่น SELECT DISTINCT sex
FROM human;
ORDER BY เรียงลำดับข้อมูล การจัดกลุ่มข้อมูล
เรียงลำดับจากมากไปน้อย (descending
order)
เช่น SELECT *
FROM human
ORDER BY name;
เรียงลำดับจากน้อยไปมาก (descending
order)
เช่น SELECT *
FROM human
ORDER BY name DESC;
ถ้าต้องการมากกว่าอันนึงก็ย่อมได้
เช่น SELECT *
FROM human
ORDER BY name , sex
DESC ;
แบบนี้จะจัดตามชื่อแบบ ascending ก่อนแล้วจะมาจัดเพศแบบ
descending ทีหลัง
การคำนวณเกี่ยวกับวันที่
ตัวแปร
DATE เป็น string ที่มีการเก็บเป็นรูปแบบ
YYYY-MM-DD ตัวแปรชนิด DATE สามารถนำมาเทียบค่ากันได้ในระดับ
ASCII
CURDATE() จะเป็น function ที่ส่งค่าออกมาเป็นข้อมูลรูปแบบ
DATE (YYYY-MM-DD)
YEAR(<ข้อมูลชนิดdate>) ส่งค่าออกมาเป็นข้อมูลรูปแบบของปี
(YYYY)
MONTH(<ข้อมูลชนิดdate>) ส่งค่าออกมาเป็นข้อมูลรูปแบบของเดือน
(MM)
DAY(<ข้อมูลชนิดdate>) ส่งค่าออกมาเป็นข้อมูลรูปแบบของวัน (DD)
RIGHT(<ข้อมูลชนิดstring>, <จำนวนตัวเลข>)
ส่งค่าออกมาจำนวนเท่ากับที่เราต้องการตัดออกมาจาก string นั้นๆ
โดยเริ่มนับจากทางขวา
LEFT(<ข้อมูลชนิดstring>, <จำนวนตัวเลข>)
ส่งค่าออกมาจำนวนเท่ากับที่เราต้องการตัดออกมาจาก string นั้นๆ
โดยเริ่มนับจากทางซ้าย
ตัวอย่าง
ex1. ต้องการปีของวันปัจจุบัน YEAR( CURDATE() )
ex2. ต้องการเดือนและวันของปัจจุบัน RIGHT(
CURDATE(),5 )
[5 ในที่นี้คือนับจากทางขวามือมา
YYYY-MM-DD ก็จะได้ MM-DD มา]
การใช้ตัวแปร NULL ในเงื่อนไข
ใช้คำสั่ง
xxx IS NOT NULL เช่นต้องการดูสิ่งมีชีิวิตที่ไม่มีเพศ
SELECT *
FROM human
WHERE sex IS NOT
NULL;
การตั้งชื่อเป็นชื่อที่เราต้องการ
หมายถึงเวลา
select บางทีคนทั่วไปอาจจะไม่เข้าใจว่าคืออะไร เราจึงมีคำสั่ง
AS ช่วย เช่น
SELECT name AS
‘NAME-SURNAME’
FROM human;
COUNT การนับจำนวน + GROUP BY การจัดกลุ่ม
COUNT ใช้ในการนับจำนวนของตารางต่างๆ
จะใช้คู่กับ GROUP BY ได้ดีเพราะจะช่วยในการจัดกลุ่มชุดข้อมูลได้ดีขึ้น
SELECT <อื่นๆ>
COUNT(*)
FROM <ชื่อtable>
WHERE <เงื่อนไข>
GROUP BY <จัดกลุ่มโดยใช้อะไร>
เช่นต้องการนับจำนวนคนในแต่ละเพศ
SELECT sex , COUNT(*)
FROM human
GROUP BY sex;
SET การกำหนดตัวแปร
SET @<ชื่อตัวแปร>
= <ค่า>
เช่น SET @A1 = ‘Natsu Sencho’;
SET @A2 =
‘1999-09-09’;
การใช้คำสั่ง JOIN
การ JOIN
คือการนำตารางที่มีความสัมพันธ์ของข้อมูลในแต่ละฟิลมาเชื่อมโยงกัน
การ JOIN
มี 2 แบบคือ
1. INNER JOIN
2. OUTER JOIN |--- LEFT JOIN
|--- RIGHT JOIN
INNER JOIN
คือการ
JOIN โดยไม่สนใจค่า NULL จะดูเพียงตัวที่เหมือนกันเท่านั้น
สมมติมีตาราง 2 อันชื่อ
Ltable และ Rtable นำมา
JOIN กันโดยมีข้อมูลที่ซ้ำกันคือ id
-- JOIN โดยใช้
ON
SELECT *
FROM Ltable INNER
JOIN Rtable ON Ltable.id = Rtable.id;
-- หรือ
JOIN โดยใช้ USING
SELECT *
FROM Ltable INNER
JOIN Rtable USING (id);
กรณีพิเศษที่ตัวแปรหรือชื่อ Column ซ้ำกันก็สามาใช้
NATURAL JOIN ได้ อย่างในที่นี้เรารุ้ว่า id นั้นซ้ำกันเราก็ไม่ต้องใส่เงื่อนไขใดๆ
แต่ใช้ Natural Join เข้ามาช่วยโดย
SELECT *
FROM Ltable NATURAL
JOIN Rtable;
OUTER JOIN
· LEFT JOIN
คือการ
JOIN โดยใช้ตัวทางซ้ายเป็นหลักคือ จะแสดงตัวทางซ้ายทุกตัวและนำข้อมูลขวามาเชื่อม
SELECT *
FROM Ltable LEFT JOIN
Rtable ON Ltable.id = Rtable.id;
· RIGHT JOIN
คือการ
JOIN โดยใช้ตัวทางขวาเป็นหลักคือ จะแสดงตัวทางขวาทุกตัวและนำข้อมูลขวามาเชื่อม
SELECT *
FROM Ltable RIGHT
JOIN Rtable ON Ltable.id = Rtable.id;
นอกจากวิธีการ JOIN ยังมีวิธีที่เรียกว่า
Cartesian Product ซึ่งไม่ได้อทิบายไว้ในทีนี้
ถ้ามีโอกาศจะนั่งทำตัวอย่างให้ดูให้เห็นได้ชัดกว่านี้นะครับ
แต่ผมสรุปแบบคร่าวๆ ให้พอดู
รวมคำศัพท์คำสั่งที่เจอเพจนี้
CREATE สร้างdatabase,
table
INSERT ใส่ข้อมูล
UPDATE อัพเดตข้อมูล
SELECT ต้องการจะดูอะไรบ้าง
FROM จากที่ไหน
WHERE เงื่อนไขอย่างไร
COUNT(*) นับจำนวนของฟิลข้อมูล
GROUP BY จัดกลุ่มข้อมูล
ORDER BY เรียงลำดับข้อมูลโดย
JOIN เชื่อมตาราง
DISTINCT ตัดตัวซ้ำ
AS ใช้คำใหม่ให้กระทัดรัดขึ้น
SET กำหนดตัวแปร
CURDATE() วันที่ปัจจุบัน
YEAR() ปี
MONTH() เดือน
DAY() วัน
RIGHT() ตัดคำจากทางขวา
LEFT() ตัดคำจากทางซ้าย
* ทั้งหมด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น